ตอนเรียนอยู่ปี 2 ผมไปเป็นแรงงานต่างด้าวในโครงการ work&travel อยู่ 3 เดือนครับ
โดยโครงการนี้จะมีเอเย่น ที่เป็นบริษัทต่าง ๆ รับจัดหางานให้ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไป
แต่โครงการที่ผมเลือกนั้นเป็นโครงการที่ระบุว่าเราจะได้ไปที่ไหน แต่ไม่ระบุงานว่าจะได้ทำอะไร
พูดง่าย ๆ ว่าไปถึงแล้ว ถ้ามีงานอะไรให้ เขาก็จะจัดให้ทำได้เลย (โดยไม่บอกด้วยนะ ว่าตอนนั้นเราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ)เมื่อไปถึงแผ่นดินอเมริกา
ที่เมืองซาน เดสติน เมืองตากอากาศเล็ก ๆ ในรัฐฟลอริดา
คนที่มารับพวกเรา แนะนำตัวว่าชื่อคอสต้า ชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ดูแลเด็กไทยที่มาที่นี่ โดยจะจัดหาที่พักและงานให้ทำ รวมทั้งรถรับส่งเราไปทำงาน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองพักผ่อน ที่จะมีคนมาพักอาศัยเฉพาะฤดูท่องเที่ยวจึงไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่เพียงพอ
ดูยังไงแล้ว คอสต้าก็ท่าทางเหมือนจะพาเราไปเรียกค่าไถ่มากกว่าจะพาไปฝากงาน เขารับพวกเราไปส่งที่บ้านพัก
แล้วบอกกับว่า พรุ่งนี้เช้าให้โทรเข้ามาที่เบอร์นี้ จะมี ทรานสปอร์ตเตอร์ (คนขับรถรับส่งนั่นแหละ) มารับพวกเราไปสมัครงาน
รุ่งเช้าผมโทรไปอย่าง งง ๆ ก็ได้ใจความว่า คนรับสายชื่ออเล็กซ์ เขาจะมารับเราไปส่ง
แล้วอเล็กซ์ ก็มาถึงที่บ้านเรา
ครั้งแรกที่ผมเจออเล็กซ์ เจ้านี่เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปี
หน้าตาน่ารักตุ้ยนุ้ย พวกเราเรียกเขาว่า หมูแดง เพราะแก้มแดง ๆ ของเขา
แต่เรื่องนิสัยถือว่าแสบมาก ชอบโชว์พาว อวดสาว ๆ คนไทย และเอาแต่ใจตนเอง
อเล็กซ์เป็นคนที่คอยรับโทรศัพท์และจัดคิวให้คนขับรถอีก 4 คนไปรับ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องชาวรัสเซียของคอสต้า
เรื่องฮา ๆ ก็คือคนขับรถ ล้วนแต่ชื่อ “อเล็กซ์”
ซึ่งแน่นอน ทุกคนก็จะถูกคนไทยที่นั่นตั้งฉายาให้
“อเล็กซ์หมูแดง” เจ้าแก้มแดงที่พูดถึงไปก่อนหน้า
“อเล็กซ์ใหญ่” เพราะตัวใหญ่และดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอเล็กซ์คนอื่น
“อเล็กซ์หล่อ” หมอนี่หล่อจริง แต่ขี้เก๊กมาก
“อเล็กซานเดอร์” คนนี้มาทีหลัง และชอบแนะนำตัวด้วยชื่อยาว ๆ
ส่วนคนที่ชื่อไม่เหมือนใครคือ “อนาโตลี” เป็นคนขับรถอายุ 60 ใจดี อบอุ่นและดูเป็นมิตรที่สุด
ผมเคยถามอนาโตลีว่า ทำไมคนขับรถทุกคนต้องชื่ออเล็กซ์
อนาโตลีอธิบายว่า คนรัสเซียชอบตั้งชื่อลูกชายว่า อเล็กซานเดอร์ ตามอย่างกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่เก่งกาจของชาวรัสเซีย
แล้วก็เลยเรียกกันสั้น ๆ ว่าอเล็กซ์
ผมถามต่อว่า แล้วทำไมอนาโตลีถึงไม่ชื่อว่า อเล็กซ์ เหมือนคนอื่น
อนาโตลีตอบผมสั้น ๆ “เพราะพ่อฉันชื่ออเล็กซ์”
……………
ผมได้งานทำในร้าน waffle house ในตำแหน่งคนทำอาหาร (คนเดียวในร้าน + คนเสิร์ฟ)
และมี second job เป็นคนสกรีนเสื้อยืดในร้าน wings
Third job ล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารอิตาลี ในวันเสาร์อาทิตย์
และมีบางครั้งที่ต้องข้ามทะเลไปช่วยงาน waffle house อีกสาขาหนึ่งที่อยู่ต่างเมือง
ไม่ใช่งกนะครับ แต่ถ้าเราว่าง คอสต้าจะจัดงานให้เราทำจนเหลือเวลาให้พอแค่พักผ่อน
เพราะพวกนี้จะหักค่าหัวคิวจากงานที่พวกเราไปทำครับ มาที่นี่จึงได้เงินดีกว่าที่อื่นเพราะมีคนคอยป้อนงานให้แบบนี้นี่เอง
แถมถ้าไม่ยอมไปทำงาน หรือมีปัญหากับที่ทำงาน คอสต้าก็จะมาพบเราและถามถึงสาเหตุว่าทำไมไม่ทำ
รวมทั้งขู่ว่าจะส่งกลับไทยหากใครมีปัญหา หรือเรื่องมากจุกจิก
ดูจากการสภาพงานที่ผมแจงไป คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโทรหาทรานสปอร์ตเตอร์บ่อย ๆ
พอดีว่าบ้านผมอยู่ในซอยเดียวกับอเล็กซ์ใหญ่ ทุกเช้าเขาจะรู้ว่าต้องมารับผมที่บ้าน บางทีเรายังไม่ตื่น งัวเงีย ๆ เพราะแทบไม่มีเวลาพัก
เจ้านี่จะมาบีบแตรหน้าบ้าน ถ้ามัวแต่ล้างหน้าแปรงฟันจะถูกทิ้งทันที
หลายครั้งที่ผมต้องนอนทั้งชุดทำงาน เพื่อจะตื่นให้ทัน และไปแปรงฟันที่ร้าน คือเวลาไม่ทันจริง ๆ ครับ
เขามารับแล้วก็ไปส่ง ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยถาม ไม่เคยได้ยินคำว่า How are you? อย่างที่เคยเรียนมาสักครั้ง
ดูแล้วความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าอเล็กซ์ใหญ่ก็คงไม่ค่อยสู้ดีนัก ใช่มั้ยล่ะครับ
………………..
วันหนึ่งผมต้องไปทำงานตามปกติ แต่วันนี้รอจนเกือบถึงเวลางานแล้ว แต่อเล็กซ์ใหญ่ก็ยังไม่มา โทรไปตามถึงสองครั้งกว่าจะมาได้
และเอาแต่คุยโทรศัพท์เป็นภาษารัสเซีย เขาหันมาบอกกับผมว่า ขอเวลาไปจัดการของที่บ้านแป็บนึง แล้วก็ขับพาผมไปที่บ้านของเขา
เมื่อไปถึงบ้าน ถึงได้รู้ว่า เมียเจ้าอเล็กซ์ใช้ให้ขนโซฟาไปที่ไหนสักแห่ง
ตอนนั้นผมเข้างานสายแน่ ๆ และรู้ว่าอเล็กซ์ก็คงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
ผมเห็นอเล็กซ์ยกโซฟาขึ้นท้ายรถแวนอย่างทุลักทุเลก็เลยลงไปช่วย
อเล็กซ์ทำหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าผมยกโซฟาตัวใหญ่ได้ด้วยมือข้างเดียว
ทำให้ผมสงสัยว่าเขาไม่เคยได้รับน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้จากใครมาก่อนเหรอ
แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งไปถึงที่ทำงานของผม
อเล็กซ์กล่าวขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของผมในวันนี้
และขอบคุณที่ผมไม่เอาเรื่องเขาที่ทำให้ผมเสียรายได้ไปเกือบชั่วโมง
ผมเพียงแต่ยิ้มให้แล้วบอกเขาว่า “ไม่เป็นไร”
………………….
หลังจากนั้นท่าทีของอเล็กซ์ที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไป
เขายังคงบีบแตรอย่างเรียกอย่างเดิม แต่ลงจากรถมายืนรอแบบไม่เร่งรีบ
ทักทาย ถามไถ่ และรู้สึกได้ถึงไมตรีของเขาที่มีมากขึ้น
ผมเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในวันนั้น
คงมีแต่พวกเราคนไทยใน ซาน เดสติน ที่รู้ว่าพวกคนขับรถเหล่านี้ทำกับเราอย่างไรบ้าง
และเราต้องฝืนใจแค่ไหน ที่ต้องร้องขอให้พวกเขาช่วยเหลือเรื่องรับ-ส่ง ทั้ง ๆ ที่เราก็จ่ายเงินรายเดือนไปไม่น้อย
วันนั้นผมอาจจะแค่ลงไปช่วย เพราะจะได้เสร็จไว ๆ ผมจะได้ไปทำงานได้ทัน
แต่การกระทำนั้น ก็ถือเป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจต่อกัน
ที่สำคัญมันสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ดีต่อกัน
การให้ด้วยน้ำใจเป็นการให้ที่ทรงพลังเสมอ แม้กระทั่งเปลี่ยนชายมาดโหดให้อ่อนโยนลงได้
ซึ่งจริง ๆ มันก็เริ่มง่าย ๆ แค่นี้เองเนอะ
แค่เราเริ่มที่จะเป็นผู้ให้ก่อน เราก็จะได้รับความรู้สึกดี ๆ กลับมา เท่านั้นเอง
ปล. เรื่องนี้นึกขึ้นได้ หลังจากดูละครบางระจัน ตอนที่พระเอกยกโทษให้คู่แค้นของเขา
แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตจริง มันจะจบดีอย่างนี้เหรอ ซึ่งก็ได้คำตอบว่ายังพอมีครับ 🙂