ครูบ้านดอย 4 (บ้านพักฟรีมักมีของแถม)

วันบรรจุมาถึง พร้อมกับความชุ่มฉ่ำของสายฝน

ข่าวคราวบ้านพักเงียบหายไป ผมจึงตัดสินใจขนข้าวของขึ้นรถมาตายเอาดาบหน้าที่โรงเรียน ครูใหญ่บอกข่าวดีกับพวกเราทันทีว่ามีชาวบ้านใจดีให้พักฟรีที่บ้าน อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ผมขับรถตามครูใหญ่ไปจนถึงบ้านหลังนั้น เป็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ เจ้าของไม่อยู่ครับ  สภาพบ้านดูเหมือนยังทำไม่เสร็จ ผนังเป็นไม้แผ่นใหญ่แปะ ๆ ไว้อย่างลวก ๆ
จากการประเมินสภาพตอนแรก คิดว่าเป็นบ้านไม้ที่ทำไว้เพื่อแปรรูปขายไม้ ซึ่งผมเคยได้ยินว่านิยมทำกันมาก  โดยนำไม้ที่ลักลอบตัดและมาสร้างเป็นบ้านหยาบ ๆ ไว้ เมื่อมีผู้มาซื้อก็จะพร้อมขายไปทั้งหลัง ซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงกฎหมายอย่างหนึ่ง แต่เมื่อลองพิเคราะห์ดูอีกทีก็พบว่ามันก็ไม่น่าใช่ครับ  ถ้าบ้านจะทำไว้ขาย ทำไมถึงมีผนังอิฐปูนอยู่ชั้นล่างด้วย  ถ้างั้นอาจจะเป็นบ้านที่เจ้าของสร้างไปเรื่อย ๆ มีงบเมื่อไหร่ก็ทำต่อ ประมาณนั้น

ผมขึ้นไปทางบันไดหลังบ้าน  ลักษณะบ้านของทางเหนือจะมีพื้นที่หลังบ้านเป็นห้องครัวไว้ทำอาหารหรือไว้นั่งกินข้าว ด้านหลังนี้มีห้องเล็ก ๆ ครับ เปิดแง้มเข้าไปดูมีรูปพระ คาดว่าจะเป็นญาติของเจ้าของบ้านตอนบวชครับ มีปืนและดาบโบราณอยู่

front Home

*หน้าบ้านและตัวบ้าน

ผมเริ่มอยากรู้ว่าในตัวบ้านจะมีของอะไรบ้างครับ  เลยลองเปิดประตูดู  ซึ่งประตูไม่ได้ล็อกไว้ ผมแอบเสียมารยาทเข้าไปดูสภาพบ้าน เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องอยู่บ้านหลังนี้อยู่แล้ว ด้านโถงในบ้านยังทำไม่เสร็จครับ ไม้กระดานยังเป็นร่อง บางแผ่นยังไม่ได้ตอกตะปู  มีโครงผนังสร้างทิ้งไว้ คาดว่าจะกั้นเป็นห้อง  มีเสื่อ หมอน ผ้าห่ม ทีวี และที่สะดุดตาก็คือตู้เสื้อผ้าที่ข้างในมีรูปถ่ายขนาดใหญ่เป็นรูปนักศึกษาในชุดครุยของมหาวิทยาลัยราชภัฎฯ  เอ…มันชักยังไงละ

สงสัยได้ไม่นาน เจ้าของบ้านก็มาครับ  ลุงเสาร์เงิน เล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างไว้ให้ให้ลูกชายที่เพิ่งเรียนจบ แต่ลูกชายได้เสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ด้วยอาการที่เรียกว่า “ไหลตาย”

ลุงเสาร์เงินเล่าด้วยสีหน้าเศร้าว่ามีลูกอยู่สามคนครับ  ลูกชายสองคนและลูกสาวคนเล็กอีกหนึ่งคน  ลูกชายคนรองนั้นเสียไปก่อนที่โรงพยาบาล สาเหตุนั้นมาจากสมองไม่สั่งการ  แล้วเหมือนเคราะห์ซ้ำ ลูกชายคนโตที่เพิ่งจบมาทำงานได้ไม่นานก็เสียชีวิตลงอย่างสงบที่ อ.แม่จัน

ถามว่าผมเป็นคนเชื่อเรื่องผีมั้ย  ก็ตอบได้เลยว่าค่อนไปทางไม่เชื่อ  แต่ถ้าถามว่ากลัวผีมั้ย  ตอบได้เต็มปากเลยครับว่า “กลัว”  (นี่ขนาดไม่เชื่อนะ)  แต่มาถึงขนาดนี้ก็ถอยไม่ได้แล้วครับ เพราะแม่กับป้าช่วยกันทำความสะอาด เก็บข้าวของจัดปูที่นอนซะเรียบร้อย ก็บ้านมันหลังใหญ่น่าอยู่กลัวเจ้าของจะเปลี่ยนใจนั่นแหละ

ลุงเสาร์เงินต้อนรับเป็นอย่างดี บอกว่าให้อยู่ฟรี รับผิดชอบแค่ค่าไฟก็พอ    ดูจากของใช้ที่เป็นหมอน ผ้าห่ม ที่อยู่ตรงกลางห้องโถงก็พอจะเดาได้ว่าแกคงมานอนค้างที่นี่บ่อย ๆ ผมจึงพออุ่นใจ

ผมมีเวลาไม่นาน ก็ต้องรีบเข้าไปรายงานตัว ยังไม่ทันได้เจอนักเรียนก็ต้องเข้าประชุมประจำปี ซึ่งครูใหญ่บอกว่าทุกคนเลื่อนประชุม เพื่อรอให้ครูใหม่มาบรรจุจะได้ประชุมกันพร้อมหน้าทีเดียว

……………………………………………………

ประชุมเสร็จแล้ว ผมออกมาเจอชาวบ้านที่มาช่วยกันปูกระเบื้องอาคารเรียนหลังใหม่ ตามธรรมเนียมของแรงงานบ้านนอก กินเสร็จก็ต้องมีเหล้ายาปลาปิ้งครับ ถึงจะไม่มากแต่บรรยากาศความเป็นกันเองและความเป็นผู้มาอยู่ใหม่ ชักชวนให้ผมพาตัวเองไปสวัสดีชาวบ้านเหล่านั้น

ผมโดนรับน้องไปสามโบก (โบกคือหนึ่งแก้วใบเล็ก)  เป็นเหล้าที่ชาวบ้านต้มเอง ระดับดีกรีความแรงเหมือนยัดถ่านร้อน ๆ ผ่านลงไปตามลำคอ อย่าคิดแม้แต่จะค่อย ๆ จิบเชียวครับ ปากแทบไหม้  วูบเหล้าที่ไหลผ่านลงคอไป รู้สึกได้ว่าตอนนี้มันเข้าไปถึงส่วนไหน ๆ ของลำไส้แล้ว ความแรงคล้าย ๆ ว้อดก้า แต่ออกแนวลูกทุ่ง

ผมนั่งอยู่เพียงอึดใจก็ต้องรีบกลับบ้านเลยครับ แก้วเดียวกินทั้งวงแบบนี้ไม่ไหวแน่ ๆ   ไม่ใช่เพราะรังเกียจนะครับ แต่ถ้าเราไม่กระดกสักที คนอื่นก็จะรอครับ สถานการณ์เลยเหมือนเร่งเร้าให้เมาเร็ว

ออกจากโรงเรียนถึงได้รู้ว่าพระอาทิตย์ที่บ้านดอยตกเร็วมาก ถึงบ้านมืด ๆ แบบนี้ ยิ่งเพิ่มความวังเวงและความน่ากลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า ผมเดินฝ่าความมืดเข้าไปงมหาสวิตช์ในบ้าน

บ้านหลังใหญ่มีไฟสามดวง  แถมยังมีหลอดหนึ่งที่กระพริบด้วย  โอ้โห แม่เจ้าาาาา !!

อาบน้ำแต่เนิ่น ๆ ดีกว่าครับ เดี๋ยวดึกกว่านี้กลัวจะไม่กล้าลงมาอาบ เพราะห้องน้ำแยกจากตัวบ้าน ผมหอบผ้าเช็ดตัวลงมา เข้าไปในห้องน้ำล็อกประตู กดสวิ ช…… ชะ   ไม่มีหลอดไฟในห้องน้ำ !!!!  มืดสนิท  ไม่มีแสงใดเข้ามาได้เลย

ผมกลับขึ้นบ้านไปใส่เสื้อผ้าอีกครั้ง โชคดีที่ร้านค้าอยู่ข้างบ้าน ไปหาซื้อเทียนมาจุดก็ได้
แต่โชคไม่เข้าข้าง ร้านค้าที่นี่ปิดตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วครับ

เย็นนั้นผมจำใจต้องเปิดประตูอาบน้ำ ได้แต่คิดในใจ ขนาดเราเองยังไม่เห็นแล้วใครจะมาเห็นของเราล่ะ

………………………………………………..

หลังจากคลำ ๆ อาบน้ำจนเสร็จเรียบร้อย ผมเลือกที่จะเปิดทีวีเพื่อช่วยทำลายความเงียบ  แต่ทีวีที่เพิ่งซื้อมาจากบิ๊กซี จูนอยู่นานก็ดูอะไรไม่ได้เลย  เพิ่งรู้วันนั้นว่าทีวีสมัยนี้ ถ้าไม่มีเสาอากาศจะไม่มีภาพอะไรออกมาเลย ความบันเทิงชิ้นเดียวที่ผมมีหมดลงแล้ว  คอมก็ซ่อมยังไม่เสร็จ บรรยากาศยิ่งเงียบกริบ มองไปรอบ ๆ ก็มืดมิดเจอแต่พุ่มไม้

ไม่นานนักมีเสียงรถเครื่อง เอ่อ..ประทานโทษครับ  เสียงรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เดินขึ้นมากับผู้ช่วยทั้งสองคน โดยไม่ต้องรอให้ผมขานรับ ทั้งสามมาพร้อมกับขวดเหล้าและเนื้อหมูสด ๆ พ่อหลวงบอกผมว่า จะมาดูว่าครูอยู่สบายมั้ย ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า  ผมรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ผู้นำชุมชนมาต้อนรับถึงบ้านขนาดนี้ ซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล

และหนีเหล้าขาวไม่พ้นครับ

คืนนั้นนอนผมหลับลงได้เพราะสองขวดที่พ่อหลวงหิ้วมา แต่ถ้าคิดว่าผมจะนอนหลับสนิทยันเช้าแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าผิดครับ กลางดึกได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ บนหัวนอน สลับกับเสียงแต๊ก ๆ ๆ อยู่ทั้งคืน จินตานาการนี่ไปไกลเลยครับ  ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะเป็นเวลาตีสี่กว่า ๆ คงลำบากกว่านี้  ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเหล้าสองขวดนั้นกลับมาทำงานอีกครั้งหรือเพราะความเหนื่อยล้าที่ผ่านมา ที่ช่วยให้ผมนอนหลับลงอีกครั้งและตื่นอีกทีตอนเช้า

เช้านี้ผมเริ่มไปสอนอย่างเต็มตัวครับ เจอเด็ก ๆ น่ารักมาก ตามประสาเด็กนักเรียนที่เจอครูครั้งแรก กลับมาถึงบ้านตอนเย็น คุณป้าเจ้าของบ้านมาเยี่ยมหลังจากวันแรกยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว  คุณป้ามาถามไถ่ตามประสาเจ้าของบ้าน

ป้า: เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ยครู
ผม: สบายมากเลยครับป้า (หึๆ)  ยุงก็ไม่มี
ป้า: แล้วครูนอนห้องไหนเหรอ
ผม: ก็นอนห้องเล็กหลังบ้านนี่แหละครับ เป็นส่วนตัวดี
ป้า: เออ…ตอนพี่เค้าอยู่เค้าก็นอนห้องนี้แหละ
ผม: (จึก) อ่อเหรอครับ (แล้วป้าจะบอกผมทำม้ายยยยยยยยยยย!!!!)
ป้า: แต่เค้าไม่ได้เสียที่นี่หรอก คนนึงเสียที่โรง’บาล  อีกคนเสียที่แม่จันนู่น ตั้งแต่มันตายก็ยังไม่เคยหลอกใครเลยนะ

(แล้วผมจะรู้ได้ไงครับป้าว่าผมจะไม่ใช่คนแรก โธ่….)

ป้า: ครูไม่ได้ฝันไม่ได้อะไรใช่มั้ย ก่อนครูมานอนป้าก็บอกเค้าแล้วนะว่าครูเค้ามาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้มาทำอะไร
ผม: ขอบคุณมากครับป้า (ไหนบอกไม่ได้เสียที่นี่ ทำไมป้าบอกพี่เค้าที่นี่ได้ล่ะ)
ป้า: คนก็ถามป้ากันเยอะนะว่าครูเค้าอยู่คนเดียวได้ยังไง
ผม: (โอ้โห…คนแถวนี้ยังกลัวกันเลยเหรอ) แหะ ๆ ก็พอได้ครับป้า

เย็นนั้น ลุงเสาร์เงินให้เด็กวัยรุ่นแถวบ้าน ลูกหลานของแก มาช่วยกันยกโต๊ะตัวใหญ่มาไว้ให้ผมไว้นั่งเล่นกินข้าว  ป้าก็เอาหม้อหุงข้าว ถาด จาน ชาม กระติกน้ำมาให้อีก  ตอนเช้าก็มีข้าวเหนียวใส่ถุงมาให้  ผมซาบซึ้งน้ำใจจริง ๆ ครับ  บ้านที่เขาให้อยู่ฟรี ๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมีน้ำใจอย่างอื่นเป็นของแถมให้อีก  เรื่องแบบนี้หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่อะไร ๆ ก็เป็นเงินเป็นทองเป็นธุรกิจกันไปเสียหมดและสิ่งที่ผมจะตอบแทนน้ำใจของคนที่นี่ได้ คือการตั้งใจและทุ่มเทสอนลูกหลานของเขาให้ดีที่สุด ให้เทียบเท่ากับน้ำใจของคนที่นี่ให้ได้

 

ผมสัญญาครับ

back
………………………………………………..

ป.ล. 1  บางวันที่บันไดหน้าบ้านมีเสียงเคาะพื้นดังติด ๆ กัน จนผมทนกับสภาพนี้ไม่ได้ต้องขอไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ก็พบว่า หมามันขึ้นมานอนข้างบนแล้วเกาท้องครับ ตอนเกาเท้าก็ไปโดนพื้นด้วยทำให้เกิดเสียงครับ

ป.ล. 2 หลังจากเหตุการณ์หมาเกาท้อง ผมก็พบว่า ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองครับ แต่ก็กลัวเหมือนเดิม (ฮา)
ป.ล. 3 วันที่ผมย้ายออก และกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง ชาวบ้านบางคนเจอผมแล้วพูดคล้าย ๆ กันว่า “นี่ครู ป้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนเห็นครูพักบ้านหลังนี้เลยไม่เล่า นี่เห็นว่าย้ายแล้วนะ เลยจะเล่าอะไรให้ฟัง………………………….โอ้ แต่ละเรื่อง ฟังแล้วขนลุกครับ)

ป.ล. 4 ตอนนี้เจ้าของบ้าน ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้แล้วและต่อเติมจนสวยงามครับ

  • กด like แฟนเพจ