บ่ายแก่ ๆ ที่มหานครอันร้อนระอุ
ผมพาตัวเองข้ามสะพานลอยจากฝั่งสถานีรถไฟดอนเมืองมายังท่าอากาศยานดอนเมืองฝั่งขาออก ที่สนามบินวันนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
พลันให้สะดุดตากับสาวหมวยคนหนึ่งท่าทางคุ้นหน้า
“เม่ย”
หญิงสาวหันมาทางเสียงที่ผมเรียก ก้มมองกระเป๋าทีหนึ่งแล้วสะบัดหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนในละคร
“อ้าววววว มะนาว”
เม่ยบอกผมสั้น ๆ ก่อนจะแยกกันไปเช็คอินตั๋วโดยสารว่า “เราไปปฏิบัติธรรมมา”หลังจากจัดการเรื่องตั๋วเสร็จ เราเดินไปที่ทางขึ้นเครื่องด้วยกัน เม่ยบอกผมว่า เธอกลับมาจากการไปร่วมปฏิบัติธรรมกับครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง
ผู้เขียนหนังสือ เข็มทิศชีวิต
เม่ยมีท่าทีประทับใจจากการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิต และใช้เวลาถึง 5 วัน
เม่ยต้องขึ้นเครื่องก่อนผมประมาณสองชั่วโมง ผมมาล่วงหน้า เพราะเสร็จธุระเร็ว
เรามีเวลาคุยกันก่อนเครื่องออกไม่นาน เป็นเรื่องทั่วไปตามประสาเพื่อนเก่า
แล้วเราก็วกกลับมาที่เรื่องการปฏิบัติธรรมของเม่ยอีกครั้ง
“มันดีอ่ะแก เราไม่คิดว่าเราจะทำได้” เม่ยมีแววตาเป็นประกายที่แสดงออกตรงตามคำพูด
“ตารางแน่นมากเลยนะ ทั้งทำสมาธิและเดินจงกรมรวมกันวันนึง 10 ชั่วโมง”
ผมถามเม่ยด้วยความสงสัยว่า “สรุปว่าการไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้มันช่วยอะไรบ้าง”
“แล้วที่ว่าดีอ่ะ มันดียังไงเหรอ?”
“ความทุกข์มันอยู่กับเราสั้นลง” เม่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูเม่ยมีความสุขมากขึ้น จากที่เคยเจอกันเมื่อครั้งก่อน
“โห คำศัพท์เริ่มมาแล้วนะเนี่ย” ผมแซว แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกัน
“แล้วที่ว่าสั้นลงเนี่ย มันคือยังไงเหรอ” ผมเองยังไม่หมดความสงสัย
“ถ้าเรารู้ทันความทุกข์ เราจะไม่จมกับมัน”
เห้ย จม ?
คำศัพท์มาอีกแล้ว
“ช่วยอธิบายเรามากกว่านี้หน่อยได้มั้ย ว่ามันช่วยเรายังไงเหรอ” ผมถามต่อ เพราะยิ่งเม่ยตอบออกมาแต่ละคำ ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย
“ง่าย ๆ เลยนะ ความทุกข์ทุกอย่าง เกิดจากเราเองที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา บางเรื่องมันเกิดกับเราแค่ครั้งเดียว แต่เราเลือกที่จะเอามันมาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า…” เม่ยเริ่มอธิบาย ผมพยักหน้าคล้อยตาม
“…ตอนแรก เราจะต้องรู้ว่าเราทุกข์เรื่องอะไร พอเรากำลังคิดเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเรารู้ตัว เราก็แค่หยุดคิดเว่ย”
“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมคิดว่าตอนนั้นตัวเองยังไม่เชื่อที่เม่ยบอก คนเรามันห้ามความคิดกันได้ด้วยเหรอ
ทำไมตัวผมเองกลับพบว่า ยิ่งเราพยายามลืมเท่าไหร่ เรากลับจำมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นมะนาว แค่เรารู้ตัวว่าเรากำลังคิดเรื่องทุกข์ ความทุกข์มันจะหายไปเองเลยแหละ แกต้องลอง”
ผมต้องลองเหรอ ??
—————————–
เม่ยตั้งใจอธิบายให้ผมเข้าใจจนไม่ได้ยินเเสียงประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง
เธอรีบหยิบกระเป๋า บอกลาผมแล้ววิ่งไปต่อแถว
แค่รู้ทันความทุกข์งั้นเหรอ ?
—————————–
ความเงียบอยู่เป็นเพื่อนคุยกับผมอีกครั้ง หลังจากที่เม่ยจากไป และไม่นานความเงียบก็ส่งไม่ผลัดให้กับเรื่องเศร้าเรื่องเดิมของผม
“เห้ยหยุด !”
ผมสั่งตัวเองให้หยุดคิด มองออกไปนอกอาคาร มองเครื่องบิน มองฝรั่งข้างหน้า ความทุกข์นั้นหายไป
ไม่นาน มันก็กลับมาอีก
“ฮั่นแน่ มาอีกแล้ว”
หยิบหนังสือข้างตัวมาอ่าน ดูรูปภาพในหนังสือ ความทุกข์หายไป
เม่ยบอกว่า ความทุกข์มันจะมาหาเราเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปห้ามมัน มันเป็นธรรมชาติ แค่เพียงเราเห็นว่า “เอาอีกละ มึงมาอีกละความทุกข์”
จุดที่เรามองเห็นมัน ความทุกข์เราก็จะหายวับไป
——————————————-
วันนี้ทั้งวัน ผมลองเล่นกับความทุกข์ดู
แล้วก็พบว่าความทุกข์มันไม่ใช่แค่แอบมาตอนที่เราอยู่ว่าง ๆ แล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
แต่ความทุกข์มันแอดวานซ์ถึงขนาดมาวนเวียนรอบ ๆ ตัวเราได้ทุกเวลาที่สติเราหลุดไป
“มาอีกแล้วเหรอความทุกข์” ผมถามความทุกข์ในใจ
พอเรารู้ตัว ความทุกข์จะรีบหายวับไป
เพิ่งรู้ว่าความทุกข์ขี้ขลาดกว่าเราเยอะเลยนะเนี่ย
ยิ่งความทุกข์มันแอบมาหาเราบ่อยแค่ไหน เรากลับได้ฝึกฝนสติได้มากขึ้นเท่านั้น แม้มันจะไม่หายขาดไปในทันที
แต่เราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์นั้นนาน ๆ เหมือนเช่นเที่ผ่านมาอีกแล้ว
นี่ใช่มั้ย ความหมายของคำว่า “จม”
——————————————————-
“มีอีกวิธีนะมะนาว” เม่ยบอก
“แกจ้องมันไปเลย ไหนขอดูหน้าความทุกข์หน่อย”
“เหยดดดด แล้วไงต่อ” วิธีของเม่ยทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้ง
“แล้วแกจะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย มันเป็นแค่ใจเหี่ยว ๆ แค่นั้นแหละ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ! “
——————————————————–
เย็นนี้ผมไลน์ไปขอบคุณเม่ย ที่วิธีของเม่ยมันใช้ได้ผล แม้ว่าตอนที่เม่ยอธิบาย เธอจะไม่รู้ว่าผมจะเอาไปใช้จริง ๆ
“ใช่มั้ย ๆ มันหยุดได้ด้วยความคิดเราเอง ต้องขอบคุณครูอ้อยเลย”
ผมไม่ลืมที่จะขอบคุณครูอ้อยในใจ
และยักคิ้วให้กับความทุกข์ที่แอบหลบสายตาผมไปอีกครั้ง