ครูบ้านดอย 12 (ตอน ลูกผู้ชายบ้านดอย)

เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้เหล่านักเรียนน้อยใหญ่วิ่งไปรวมตัวกันที่หน้าเสาธง

ครูเวช คุณครูอนุบาลที่สอนรวมกันทั้ง อนุบาล 1 และ 2 ยืนคุยกับครูปาริชาติครูประจำชั้น ป.3 และครูวิรัตน์ ครูประจำชั้น ป.6 ซึ่งเป็นครูเวรวันนี้

หลังเพลงชาติจบ  ผมเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาแทนที่ครูวิรัตน์ ซึ่งเดินไปอบรมนักเรียนหน้าเสาธง  ครูเวชเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าช่วงเย็นเมื่อวาน ครูเวชลืมถุงใส่เงินฝากออมทรัพย์ของนักเรียนไว้ที่ห้องอนุบาล  แต่ว่าขับรถออกไปแล้ว เลยให้แฟนครูเวชกลับมาเปิดห้องเพื่อจะเก็บถุงเงินกลับบ้าน  แต่แล้ว  แฟนครูเวชกลับพบนักเรียนกลุ่มหนึ่ง วิ่งหนีออกจากห้องอนุบาล เหลือเพียงนักเรียน ป.6 อ้วน ๆ ที่หนีไม่ทัน ซึ่งเด็กอ้วน ๆ ชั้น ป.6 มีอยู่คนเดียว จึงตามตัวได้ไม่ยาก        แม้เงินจะไม่หาย  แต่ครูเวชก็ยังข้องใจว่าเด็ก ๆ เข้าไปทำไม  เพราะเหตุผลที่เด็ก ๆ เหล่านั้นอ้าง คือจะไปเข้าห้องน้ำ (ห้องอนุบาลมีห้องน้ำในตัว) 

ไม่จริง ! ผมแย้งอยู่ในใจ

เป็นไปไม่ได้จริง ๆ ที่เด็กนักเรียนผู้ชายจะพยายามลงทุนปีนขึ้นช่องลมเพื่อไปเข้าห้องน้ำ  ทั้ง ๆ ที่ห้องน้ำด้านนอกก็มี และจากการเตะบอลกับเด็กพวกนี้ตอนเย็นเกือบทุกเย็น นักเรียนชาย เกือบ 100% จะนิยมยืนยิงกระต่ายริมรั้ว มากกว่าจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

ดังนั้น….ผมไม่เชื่อ !

งานนี้มีลูกน้องชั้นป.5 (คนอื่นเรียกนักเรียนแต่ครูมะนาวเรียกลูกน้อง) มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด 4 คน  ทั้งหมดถูกทำโทษหน้าเสาธง หลังจากที่นักเรียนคนอื่น ๆ เข้าห้องเรียนแล้ว พวกนี้ตามเข้ามา บางคนมีน้ำตาซึม  ดูแววตาแล้ว  ผมคิดว่าคงเป็นการโดนหางเลขมากกว่า เคยเป็นมั้ยล่ะครับ  ตอนเด็ก ๆ ถ้าเรื่องไหนที่ผิด เราจะยืดอกรับผิดครั้งนั้นได้  แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่ผิด เราจะไม่ยอมรับ  แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นไม้เรียวทำให้เราจำยอมในที่สุด  ความคับแค้นจึงเกิดขึ้นในรูปแบบของน้ำตา  มันอธิบายยากนะครับ  แต่ผมว่าถ้าคุณจะลงโทษเด็ก หรือด่าใครที่ไม่มีทางสู้ คุณคิดถึงหัวอกเขาบ้างก็ดีนะครับ

แต่ครั้งนี้จะว่าครูวิรัตน์ลงโทษไม่ถูกก็ไม่ใช่  ทั้งหมดซึ่งได้แก่ ป.6 2 คน และ ป.5 อีก 4 คน สารภาพว่าจะเข้าไปดูโทรทัศน์ในห้องอนุบาล ซึ่งก็สมเหตุสมผลกับความซน คือโดนไม้เรียว 3 ที

แต่…..ผมก็ยังไม่เชื่อ !

ทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์มีอยู่แทบทุกห้อง เพราะช่วงที่โรงเรียนขาดครูสอน จำเป็นต้องใช้ครูตู้ (เรียนผ่านดาวเทียม) จากสัญญาณดาวเทียมโรงเรียนไกลกังวล  เวลานั้นแต่ละห้องยังไม่ล็อก ซึ่งมันจะง่ายกว่ามั้ย หากจะดูโทรทัศน์ในห้องเรียนของตน มากกว่าปีนเข้าไปห้องอนุบาล  แล้ว…มันมีรายการอะไรดึงดูดใจขนาดนั้น หรือถ้ามันดึงดูดจริง  ทำไมไม่ดูอยู่ที่บ้าน  ออกมาเล่นที่โรงเรียนตอนเย็นทำไม ?

“ครูว่ามันไม่สมเหตุสมผลนะ” ผมกล่าวหลังจากที่เปิดห้องสอบสวนทั้ง 4 คนอีกรอบ “ทั้งเรื่องเธอไปเข้าห้องน้ำหรือไปดูทีวี” ทั้งสี่ คนมีสีหน้าสลด ก้มหน้าก้มตา

“เธอไปทำอะไรกันแน่” ผมถามย้ำเข้าไปอีกครั้ง และได้ความเงียบเป็นคำตอบ

“เค้ากลัวป.6 กันครับ” ใครสักคนในห้องที่ไม่ใช่ 1 ใน 4 คนนี้ เป็นคนตอบ ทั้งห้องเงียบ สายตาของผมจับสลับไปมาระหว่างจอมซนทั้ง 4 คนนี้

“ป.6 ไม่ให้บอกครับ” หนึ่งในนั้นปริปากพูด  “เค้าขู่จะตีครับ ถ้าบอกครู”

นั่นไง…. นึกแล้วว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

“เธอคิดว่า ครู กับ พี่ ป.6 ใครจะทำให้เธอเดือดร้อนมากกว่ากัน” ผมยิงคำถามเชือดเฉือน ซึ่งนี่ไม่ใช่คำขู่แน่ ๆ สำหรับนักเรียน เพราะถ้าครูเอาจริง ทั้ง 4 คงเดือดร้อนกว่าจริง ๆ

จะว่าไปแล้วก็สงสารเหมือนกัน ตอนนี้เหมือนทั้งสี่โดนข่มขู่ทั้ง 2 ด้าน คือเรียกว่ายังไงก็โดนแน่ ๆ ทั้งสี่เริ่มชั่งใจ  ถ้าคุณเป็นนักโทษที่โดนจับได้ คุณจะยอมให้ตำรวจกันตัวเองเป็นพยานหรือจะยืนยันที่จะเป็นจำเลยล่ะครับ  งานนี้ จึงมีคนสารภาพว่าจริง ๆ แล้ว ทั้งหมดจะเข้าไปขโมยดินน้ำมันในห้องอนุบาล

โถ  พ่อคุณ……

แล้ว 4 คนนี้  เป็นเพียงต้นทางเท่านั้นครับ ไม่ได้เข้าไป ที่เข้าไปก็ ป.6 สองคนนั่นแหละ  ก็ดีครับ พูดกันง่าย ๆ แบบนี้ ก็ลูบหลังซะหน่อย  ว่าถ้ามีปัญหาอะไร ให้บอกครู ไม่อย่างนั้นก็จะโดนแกล้งอย่างนี้ตลอดไป

บ่ายนั้นผมจึงแวะไปไขข้อข้องใจให้ครูเวช  เจตนาของผม เพื่อจะให้ครูได้เข้าใจว่า นักเรียนไม่ได้เข้าไปเพื่อหวังขโมยเงินหรอก  แต่กลายเป็นว่า พวกนี้โดนเรียกตัวไปสอบสวนอีกรอบ   (กลายเป็นครูมะนาวขี้ฟ้องไปทันที)  เรื่องที่เหมือนจะจบกลับไม่จบ กลายเป็นจุดพีคของเรื่องนี้แทน

ทั้งหมดกลับมาที่ห้อง ผมก็ถามว่าครูเขาเรียกไปทำไรอีก

“ครูเขาเรียกไปถามนั่นแหละครับ”
“แล้วสารภาพรึยัง” ผมถามด้วยความคาดหวัง   แต่คำตอบกลับทำให้ผิดหวัง

“ไม่ครับ” …..

“นี่เธอกลัว ป.6 จนลืมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายไปแล้วเหรอ ?”
“คนเราทำผิด แล้วยอมรับ คนเค้าก็ให้อภัย  เธอต้องรอเป็นลูกน้องให้ลูกพี่เธอยอมรับยังงั้นเหรอ ?”
“กับครูเธอก็สารภาพแล้ว แล้วครูทำอะไรเธอมั้ย ครูลงโทษเธออีกหรือเปล่า…แล้วเธอกลัวอะไร  พวกนั้นให้ทำอะไรก็ทำเหรอ”

“นี่ไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชาย….!!!”
“ครูผิดหวังในตัวพวกเธอจริง ๆ”

ผมจัดไปเป็นชุด เด็ก ๆ ก้มหน้านิ่งรับฟัง  เดือดครับ…ยอมรับว่าเดือด  แต่น้ำเสียงที่ออกไป  เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง  ทั้ง ๆ ที่ก็เข้าใจว่าเด็กวัยนี้ ย่อมรู้สึกว่ารุ่นพี่พวกพ้องเป็นเรื่องสำคัญกว่าความรู้สึกที่เป็นความรับผิดชอบแบบลูกผู้ชาย

ผมส่ายหัว แล้วให้พวกนั้นกลับเข้าที่ เริ่มเรียนวิชาต่อไป

………..

เช้าวันรุ่งขึ้น  ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ  ผมยังคงสอนและพูดคุยกับนักเรียนเหล่านั้นปกติ  ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าเข้าใจและทำใจแล้ว ว่าอย่างน้อย  นักเรียนทั้งสี่ก็กล้ายอมรับกับผมแล้ว

พักเที่ยง ระหว่างที่ผมกำลังสำรวจกรงเก็บอุปกรณ์กีฬา ว่าจะเอาไปซ่อมอย่างไรได้บ้าง  นักเรียนชายชั้น ป.5  ซึ่งก็รวมทั้งสี่คนนั้นวิ่งมาช่วยเสนอว่าให้เอาไปซ่อมที่ร้านซ่อมรถหน้าโรงเรียน

ระหว่างที่กำลังจะช่วยกันแบกไปนั้น หนึ่งในสี่คนบอกผมว่า

“ครูครับ…พวกผมไปสารภาพกับครูเวชแล้วครับ”

ผมยืนนิ่งเกาะกรงเก็บอุปกรณ์กีฬา หันไปสบตานักเรียนคนนั้นได้เพียงแว้บเดียว เพราะไม่กล้าจะให้นักเรียนเห็นแววตาแห่งความตื้นตันคู่นี้  เหมือนมีอะไรมาจุกที่อกทำให้พูดอะไรไม่ออก  คำพูดที่ตอบนักเรียนไปจึงเป็นคำพูดที่แสนเย็นชาว่า

“อืม…ดีแล้ว”

ทั้ง ๆ ที่ภายในใจตะโกนเสียงดังว่า “ครูภูมิใจในตัวนักเรียนมาก”

คุณผู้อ่านอาจจะไม่เชื่อก้ได้ ว่าระหว่างที่ผมกำลังพิมพ์เล่าเรื่องนี้ ยังรู้สึกว่าน้ำตาจะไหลเลยครับ  ผมสอนให้พวกเขารู้จักความรับผิดชอบ และรู้จักคำว่าลูกผู้ชาย  ขณะเดียวกัน พวกเขาสอนให้ผมได้สัมผัสถึงความสุข ที่ได้เห็นลูกศิษย์ของตนเป็นคนดี  เป็นความรู้สึกภูมิใจของครูบรรจุใหม่คนหนึ่ง ที่มันมากกว่าการสอนให้นักเรียนเข้าใจโจทย์เลขยาก ๆ หรือสอนให้นักเรียนทำคะแนนโอเน็ตได้สูง ๆ หลายเท่านัก

ต่อจากนี้ ผมคงจะรอดูพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในวันข้างหน้าอย่างมีความหวัง  แต่ในความตื้นตันนั้นยังคงมีความคำถามว่าสภาพสังคมปัจจุบัน จะทำให้ลูกน้องของผมเหล่านี้ คงความดีไว้ได้นานเท่าไหร่  เสียงหนึ่งของพ่อ ยังคงกระซิบให้อุ่นใจ

“เพชรย่อมเป็นเพชรแม้อยู่ในโคลนตม”

 

ขอบคุณสำหรับการจุดประกายความหวังของครูอีกครั้ง “ลูกผู้ชายบ้านดอย”

  • กด like แฟนเพจ