สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่าน
ทักทายซะลูกทุ่งเลย
จริง ๆ แล้ว ตอนที่ 14 นี้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า
“วันรุ้งสวยกับความซวยของครูใหญ่ (คนอื่นเรียก ผอ. แต่ผมเรียกครูใหญ่ จากใจครูน้อย)” แต่มันเกรงว่าจะยาวมากไปครับ
วันพุธที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งวันที่ชาวบ้าน “บ้านดอย” มาช่วยกันวางโครงหลังคาเตรียมไว้ เพราะปิดเทอมตุลาคมนี้จะมีนิสิตจาก คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาออกค่ายครับ (เย้!) ซึ่งชาวบ้านกลัวว่าเวลา 12 วันของค่ายอาจจะสร้างไม่เสร็จ ก็เลยมาทำล่วงหน้าไว้บ้าง
ทีนี้คนมาค่ายเริ่มเยอะ ทางค่ายกลัวว่าคนจะล้นงาน (ขนาดนั้นเชียว) จึงสอบถามมาทางโรงแล้วหลายหลัง ราวกับจบคณะครุศาสตร์ เอกวิศวกรรมศาสตร์มาก็ไม่ปาน
หลังจากน้อง ๆ นิสิตได้ขอความช่วยเหลือให้ช่วยหางานให้ทำระหว่างจัดค่ายนั้น ครูวิชัยก็แสดงดวงตาเป็นประกายประหนึ่งจะพูดว่า “สู้งานแบบนี้เดี๋ยวพี่จัดให้” ว่าแล้วก็หางานให้ชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ทาสีอาคารอเนกประสงค์ ถางพงหญ้าหลังสนามวอลเล่ย์ ฮาเฮกับสวนหย่อม ล้อมรั้วทั้งโรงเรียน อันหลังนี่ใช้งบพอ ๆ กับสร้างโรงอาหารเลย (ก็เลยยกเลิกไป)
พอพ่อหลวงบุญเป็งมาถึง ก็ช่วยเสนอให้ทำสวนหย่อมครับ บริเวณโซนหน้าโรงเรียนมีต้นไม้เยอะ และร่มรื่นมาก ถ้าทำตรงนี้ให้นักเรียนได้มานั่งเล่นก็คงจะดี ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
เย็นนั้นหลังจากที่ประชุมคณะครูเสร็จ ผม ครูวิชัย และครูใหญ่ (คนอื่นเรียกผอ.แต่ผมเรียกครูใหญ่) ก็ไปคุยกับพ่อหลวงและกรรมการสถานศึกษาบริเวณที่คิดว่าจะทำเป็นสวนหย่อมครับ ซึ่งตรงนั้นเป็นหน้าบ้านพักครู ซึ่งลุงมานพ ตำแหน่งนักการภารโรง มานอนบ้างเป็นครั้งคราว และก็ใช้พื้นที่บริเวณหน้าบ้านเป็นที่เลี้ยงน้องวัวหลายตัว ซึ่งผมเล่าไปแล้วในตอน ครูบ้านดอยพบบอยสเก๊าต์
วันนั้นมีรุ้งกินน้ำ รุ้งที่บ้านดอยเป็นรุ้งที่สวยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะตอนเย็นเวลาไปเตะบอลที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน ครั้งแรกในชีวิตที่เห็นรุ้งโค้งเป็นครึ่งวงกลมก็ที่นี่แหละครับ วันนี้พกกล้องไปด้วยก็เลยได้เก็บภาพมาฝากครับ
สังเกตดี ๆ จะเห็นว่ารุ้งมีสองชั้นด้วยนะครับ
ถ่ายจากหน้าบ้านพักภารโรงเข้าไปทางอาคารเรียนนะครับ จาก ทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกนั่นเอง
แล้วเด็ก ๆ ก็อุตส่าห์เอาเงามาพาด แต่ก็กลายเป็นดีแฮะ
อยากมาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ ดีนัก เลยจับเป็นนายแบบซะเลยครับ
เด็กผู้ชายโรงเรียนบ้านดอยค่อนข้างบ้ากล้องนะครับ ผิดกับนักเรียนหญิงที่ไม่สู้กล้องเลย แล้วดูมาดเค้าซะก่อนครับรูปนี้ ได้ใจจริง ๆ
ตรงกลางสนามมีวัวของลุงนพ ภารโรงครับ ซึ่งแรก ๆ ผมก็เห็นว่าแกเลี้ยงไว้หน้าบ้านพักของแก แต่หลัง ๆ แกเริ่มขยายสัมปทานครับ เคยเห็นแกเอาไปผูกไว้หน้าอาคารเรียนก็มี แล้วเมื่อวันจันทร์ น้องวัวตัวใหญ่ก็เพิ่งเอาเขาไปเกี่ยวเน็ตวอลเล่ย์บอลจนขาดไปแล้ว
ตัดภาพกลับมาที่หน้าบ้านพักภารโรง ทางนี้ก็เริ่มคุยกันแล้วว่าจะประชุมกรรมการสถานศึกษาอีกครั้งวันไหน ก็เลือกเอาหลังวันออกพรรษาซะเลย ประชุมเสร็จจะได้มีเรื่องให้คุยต่อ (แหม่) ครูใหญ่เห็นลุงมานพเอาวัวมาผูกก็พูดทีเล่นทีจริงว่า
“น่าจะซื้อวัวลุงนพสักตัวเนอะ เอามาเลี้ยงส่งชาวค่าย” ว่าแล้วครูใหญ่ก็ร่ำลาคนอื่น ๆ พร้อมทั้งเดินไปที่รถเก๋ง
“ตามสบายนะทุกคน” เป็นคำกล่าวอำลาของครูใหญ่ (คนอื่นเรียกผอ.แต่ผมเรียกครูใหญ่ )
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตามสบาย น้องวัวที่ผูกอยู่ใกล้ ๆ ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ค้างจากที่วิ่งหยอกกันเมื่อสักครู่ หรือมันเข้าใจคำพูดของครูใหญ่ที่ว่าจะเอามันไปเป็นอาหารเลี้ยงส่งชาวค่าย และผมก็ไม่แน่ใจว่ามันตกใจที่ครูใหญ่เดินเข้าไปใกล้แล้ววิ่งหนี หรือตกใจแล้ววิ่งไล่ แต่เมื่อวัวมันถูกผูกอยู่กับต้นไม้ วิ่งยังไงมันก็เป็นวงกลม ที่แย่นั้นคือ ครูใหญ่หรือ ผอ. ของใคร ๆ อยู่ในวงล้อมนั้น!!!
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ให้นึกถึงหน้าปัดนาฬิกา (นาฬิกาแบบเข็มนะครับ เดี๋ยวไปนึกภาพนาฬิกาดิจิทัลแล้วงงแย่เลย) น้องวัวยืนอยู่ที่ 11 นาฬิกา รถครูใหญ่อยู่ประมาณ 12 นาฬิกา ขณะที่ครูใหญ่เดินไปถึง 9 นาฬิกาน้องวัวก็สาธิต อาการ “วัวตื่น” ให้ผมและเหล่ากรรมการสถานศึกษา ดูเป็นขวัญตา โดยมีครูใหญ่เป็นนักแสดงรับเชิญ !!
และแทนที่ ผอ. ของใคร ๆ แต่เป็นครูใหญ่ของผม จะวิ่งออกมาจากหน้าปัดนาฬิกาหายนะนั้น กลับวิ่งทวนเข็มนาฬิกาขึ้นไป เข้าใจว่า ครูใหญ่คงกะจะวิ่งอ้อมไปที่รถซึ่งจอดอยู่บริเวณเลข 12 นั่นเอง แต่สองขาของครูใหญ่วัยเลยเบญจเพสไปแล้ว 2 ครั้งหรือจะสู้สี่ขาของน้องวัววัยรุ่นคะนอง ที่ซัดหญ้ามาจนอิ่มท้อง ว่าแล้วน้องวัวก็แสดงอาการให้ทุกคนงงคือ มันวิ่งไล่หรือวิ่งหนีกันแน่เมื่อมันวิ่งแซงครูใหญ่ไป ช่วงเลข 4 นั้นเอง เชือกของน้องวัวก็สอยครูใหญ่จนตัวลอยขึ้นไปประมาณครึ่งเมตร และแรงโน้มถ่วงของโลกไม่เคยเข้าข้างใคร ครูใหญ่ร่วงลงสู่พื้นโดยมีไหล่ขวาเป็นสัมผัสแรก
“กั๊ด!”…… แปลว่า “จุก”
ครูใหญ่ประคองตัวขึ้นมานั่ง คราง โอย ๆ เมื่อได้สติผมรีบวิ่งไปหมายจะประคองตัวให้ครูใหญ่ลุกขึ้น ใครสักคนตะโกนว่า “อย่าเพิ่งแตะตัวครูใหญ่” เราไม่แน่ใจว่าจะอาการจะรุนแรงแค่ไหนครับ ครูวิชัยบอกให้ผมขับรถยนต์ครูใหญ่ พาครูใหญ่ไปส่งโรงพยาบาลเวียงเชียงรุ้ง ซึ่งไกลกว่าโรงพยาบาลเชียงแสนนิดหน่อยเพราะครูใหญ่ทำบัตรจ่ายตรงไว้ที่นั่น (อีกอย่างคือเส้นทางไปเชียงแสน ไม่ต่างอะไรกับเส้นทางไปดวงจันทร์ คนเจ็บอาจได้รับความกระทบกระเทือนได้
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอก็จับถอดเสื้อเข้าเอ็กซเรย์ทันที ผลปรากฏว่า กระดูกไหล่ซ้ายหักครับ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นง่าย ๆ อย่างนี้เชียวหรือ ??
ขากลับพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ท้องฟ้ายังคงสดใส ครูใหญ่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผมนั่งรถกลับกับครูวิชัย โลกของเรายังคงมีอะไรสวยงามอยู่เสมอ อย่าให้อุบัติเหตุมาพรากเราไปจากความงามเหล่านั้นเลยครับ อย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่มีรุ้งโค้งสวยงาม หรือเป็นวันฝนตกพรำก็ตามที
ครูใหญ่ (คนอื่นเรียกผอ. แต่ผมเรียกครูใหญ่) นอนโรงพยาบาล 2 คืน รุ่งเช้าวันจันทร์ ก็กลับมาถ่ายรูปช่างที่มาช่วยทำโครงหลังคาโรงอาหาร โดยที่ไหล่ขวายังดามเหล็กอยู่เลย กระดูกเหล็กของจริงครับ
แบบนี้ไม่เรียกว่า “ครู(ผู้ยิ่ง)ใหญ่” จะให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ….
ปล. ลิ้งค์ที่ภาพเป็นบล็อกเก่าก่อนจะโยกมาไว้นี่นะครับ ^^