ครูบ้านดอย 15 (ตอน ค่ายอาสา ณ บ้านดอย)

กุมภาพันธ์ 15, 2016 6:44 am ครูบ้านดอย

#ก่อนอ่านตอนนี้ ขอทำความเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนที่ผมสอนอยู่โรงเรียนบ้านดอย
มีน้อง ๆ จากจุฬาฯ ตามมาจัดค่ายอาสาที่โรงเรียนครับ ซึ่งระหว่างนั้นได้ประสานกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ให้มาจัดค่ายร่วมกัน แต่ด้วยวัฒนธรรมค่ายที่แตกต่างกัน ทำให้ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องความเข้าใจกันเล็กน้อย ซึ่งสุดท้ายจบค่ายไปแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะครับ น้อง ๆ น่ารักกันทั้ง 2 มหาวิทยาลัยเลยครับ

#################################

 

ครูบ้านดอยแสนดีใจ ค่ายใหญ่ ๆ มาโรงเรียน
คุณครูนิสิตมาช่วย … สอนอ่านเขียน
สอนกิจกรรมความรู้ให้นักเรียน
สร้างโรงอาหารอย่างพากเพียร
ครูบ้านดอยแสนสุขใจ

สองมหา’ลัยเจอกัน พบปะสังสรรค์ แบ่งปันเรื่องข้องหมองใจ
ที่หนึ่งบอกว่าเรื่องใหญ่ กฎค่ายหลายข้อขอได้ไหม
เว้นให้เรื่องเหล้าอย่าห้ามเลย
อีกทั้งในเรื่องแบ่งฝ่าย เวียนกันทำไมให้ปวดหัว
คนเก่งอย่างไร ทำงานให้ถนัดกับตัว
เวียนไปมั่ว ๆ ได้อะไร

อีกมหา’ลัยชี้แจง
อยากจะแถลง ว่ากฎค่ายมีมาแล้วเนิ่นนาน
เป็นการตั้งใจทำเพื่อโรงเรียน นักเรียน ชาวบ้าน
ปฏิบัติตนดี เพื่อศักดิ์ศรีที่มีมาช้านาน
เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้าน
ว่าเราอาสาอย่างตั้งใจ

เรื่องของการแบ่งฝ่าย
มันเป็นการกระจาย
ให้กับชาวค่าย
ได้เริ่ม ได้รู้ ได้ศึกษา
เก่งแล้ว ทำไป ได้งานมา
แต่จะไม่ได้วิชา
ซึ่งจะเกิดจากการได้ลอง

จบการสนทนาในคืนนั้น
ทั้งมหา’ลัยยังไม่เข้าใจกัน
ต่างมุ่งมั่นจะทำในสิ่งที่เป็นแนวของตน
จนวันเปิดค่ายผ่านพ้น
ชาวค่ายทุกคน ยินยอมเข้าสู่กระบวนการ (อย่างยินดีและเสียไม่ได้)

ระหว่างที่เล่าแอบกินส้มตำ
นึกไปก็น่าขำว่ากูจะบอกทำไม ?

กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ
ถึงกลางคืนมีประชุมช่างน่าท้อ
อยากด่าพ่อ….ใครบางใคร

เรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง
มันก็เกิดเรื่อง สืบเนื่องจากการไม่ยอมเข้าใจ
เพื่อนครูบ้านดอยมาด้วยช่วยไข
“คนเรามีประตูอยู่สองใบ”
เอ่อ…เข้าใจครับคุณครูภาษาไทย
แต่คำว่าประตูสองใบ มันสัมผัสโดนใจกว่าประตูสองบาน

เอาใหม่ ๆ ประตูสองบาน
บานแรกบานสองคืออะไรวะลืมแล้ว
แต่จำได้ไม่แคล้วว่ามันมีความหมาย
อยากรู้ไปถามไอ้หนุ่มคนพูดคมคาย
ผมจำได้แค่คลับคล้าย ว่าคนเราต้องเปิดใจให้กัน

แต่คืนนั้นผมไม่ได้เปิดใจทันที
คิดในใจทำไมเค้าทำกันแบบนี้
ทั้งที่ตกลงกันแล้วอย่างดิบดี
ว่าจะใช้กฎเดียวกันของจุฬาฯ

เค้าไม่อยากเวียนฝ่าย
เค้าอยากกินเหล้าในค่าย
เค้าอยากชาร์ตโทรศัพท์มือถือ
โอ้โห..เอาอย่างนั้นกันเลยหรือ
ขึ้นครับขึ้น ผมมันอนุรักษ์นิยม

รุ่งขึ้นได้คุยกับประธานสภาราชภัฏ
เค้าบอกว่าอาจารย์ก็เข้าใจใช่มั้ยครับ
ว่าพวกผมเน้นที่โรงอาหาร
จึงได้ส่งคนที่ชำนาญการ
มาช่วยก่อ ช่วยสร้าง โรงอาหาร
จะได้กลับไปรายงานอธิการบดี

เออเนอะ มันก็แค่นี้
แค่มองว่าวัตถุประสงค์ที่มี
มันไม่ตรงกันตั้งแต่แรกน่ะสิ
มันจึงไม่เข้าใจกัน

เพราะตกลงกันแค่อาจารย์
ตกลงโดยคิดว่ามันบ้าน ๆ
ง่าย ๆ ไม่มีอะไร

น้อง ๆ ราชภัฏก็เหมือนโดนบังคับมา
ค่ายเค้าสบาย ๆ หรรษา ต้องมาทนเข้าค่ายกับพวกจุฬาฯ
มีแต่กฎมีแต่กติกา
อีกทั้งยังกำหนดโควต้า
เพื่อนเค้าหายไปยี่สิบกว่า
เอาใจเขามาใส่ใจเราสักครา
แล้วผมจึงเริ่มเข้าใจ

จากนั้นมันก็พอมีประเด็นขัดแย้ง
แต่ผมคงจะไม่แจ้งไม่เอ่ยถึง
เพราะค่ายมันควรจะมีแต่เรื่องซึ้ง ๆ
สิ่งไม่ดีอย่าเก็บมาพูดถึง
แต่เก็บไว้เป็น”ที่พึ่ง”
ยามที่ต้องคำนึง….เพื่อป้องกันปัญหาในคราต่อไป

ผมจึงเริ่มมีค่ายที่แสนสุข
เรื่องราวเริ่มสนุกและสดใจ
สิ่งหนึ่งที่เราควร “ใส่ใจ”
คือ”น้องใหม่”จะได้อะไรจากการมา

หลายคนก็เกิดการเรียนรู้
แม้แต่ครูบ้านดอยอีกคนละหนา
เรียนรู้จากค่ายด้วยสถานะที่แตกต่างจากแต่เดิมมา
เรียนรู้ด้วยการเริ่มจาก “เปิดใจ”

โรงอาหารก่อขึ้นเป็นรูปร่าง
ระยะห่างถูกดึงเข้ามาใหม่
สองมหา’ลัยคุยถูกคอเริ่มถูกใจ
แต่นั่นแหละบางคนที่ยัง “ไม่” ก็เสียดายแทน

ในค่ายมีกีฬาสี
แบ่งกันหลายสี
แต่ละสีต่างสู้พร้อมใจ
พยายามทำเต็มที่ให้สีตัวเองไว้
ไม่ต้องไปใส่ใจว่าสีใครทำไม่ดี

พวกคนโต ๆ ควรเอาตัวอย่าง
อายเด็กมันบ้าง มันยังมีศักดิ์ศรี
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยเป็นสิ่งดี
ไม่ใช่พอตัวเองแพ้แล้วก็ชวนตี
แล้วแบบนี้ประเทศชาติมันจะดีได้อย่างไร

แทนที่จะเอาเวลามาแก้ปัญหา
แต่กลับเอาเวลามาขุดคุ้ยสร้างเรื่องใหม่
แล้วเราจะเดินหน้าได้อย่างไร
เพราะพอเราเริ่มก้าวเดินใหม่
ก็มัวแต่หันไป
ว่าก้าวที่แล้วเหยียบอะไร ของใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ผิดอะไร อยู่อย่างนั้นแหละ

รอบกองไฟความสุขแบบชาวบ้าน
ใครติดละครอยู่ช่างน่าสงสาร
พวกเราเบิกบาน
อยู่กับกองไฟกองใหญ่
การแสดงชุดนี้จบไป
การแสดงชุดใหม่เข้ามา

มันเป็นสีสันที่สร้างกันเอง
ร้องรำทำเพลง
สนุกไปตามประสา
ไม่มีเมียหลวง ไม่มีเมียน้อย มาต่อยลูกกะตา
มีแต่เหล่าดาราบนลานดิน

จบแล้วร้องเพลงสามัคคีชุมนุม
ยืนกันเป็นกลุ่ม กระจายเป็นวงสุขี
มือไขว้กันจับกันไว้ให้ดี
พวกเราล้วนสามัคคี
ภาพแบบนี้อยากเห็นให้ทั่วไทย

คืนสุดท้ายเรานั่งล้อมวง
เปิดใจก็ยังคง
รักษาไว้จนวินาทีสุดท้าย
แต่ละคนคงมีอะไรในใจมากมาย
เป็นสิ่งดีที่จะได้ระบาย
ให้หาย ให้เคลียร์ ก่อนกลับไป

หลายคนพูดช่างน่าสงสาร
“ค่าย”ที่เรียกว่า”บ้าน”มันไม่เหมือนเก่า
ค่ายที่เคยสนุก เพราะมีแต่พวกเรา
โดนทำลายบรรยากาศเก่า ๆ น่าเศร้าใจ

ขอโทษแทนละกันครับคุณครู
ค่ายฝ่ายพัฒน์แห่งการเรียนรู้
สิบกว่าวันที่เราได้ร่วมกันอยู่
เหล่าคุณครูได้เรียนรู้อะไร

เรียนรู้ที่จะได้อยู่ร่วมกัน
“ความแตกต่าง” คำสั้น ๆ เข้าใจกันแบบไหน
นั่นแหละที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันไป
เรามาค่ายเพื่อ “เรียนรู้” เคยบอกแบบนี้ใช่ไหม
“บรรยากาศเก่า ๆ” เป็นเรื่องของ “ความสุขใจ”
ถามตัวเองอีกครั้งว่ามาค่ายเพราะเรื่องไหน
แล้วค่อย”แอ๊ก”บอกคนอื่นไป…..อีกที

ผมไปค่ายเพราะว่าผมสนุก (555+)
แต่ก็มีความสุขเพราะได้เรียนรู้
ขอถามตามประสาคุณครู
ถ้าไปค่ายแล้วจะเรียนรู้ จะเรียนรู้บรรยากาศเดิม ๆ ไปทำไม?

แต่ก็เข้าใจความรู้สึก
เอาเป็นว่าค่ายหน้าเรามาเริ่มกันใหม่
เชิญชวนราชภัฏด้วยหากเค้ายังมีใจ
คราวนี้ตกลงกันใหม่ ถ้าคิดว่า”ใช่” ค่อยไปด้วยกัน
เพราะการมาอยู่โดยไม่ได้ “ตกลงกันเอง” ก่อนนั้น
มันอาจทำลายความสัมพันธ์ของเราให้ลดลง

เหตุการณ์นี้หากมองไปกว้าง ๆ จะเจอภาพใหญ่
ภาพสังคมไทยในยุคยิ่งใหญ่ของความเห็น
ถ้าเรียนรู้จะร่วมอยู่ในสิ่งที่แต่ละคนเป็น
แล้วเราจะได้เห็นภาพความสามัคคี

รุ่งขึ้นวันสุดท้ายต่างจากวันแรก
ไม่มีความแปลกแยกไม่แบ่งสี
เราทุกคน สวมใส่เสื้อค่ายที่เรามี
จบค่ายนี้เราจากไปด้วยสีเดียวกัน

พวกเราจากกันด้วยดี
โอกาสมีคงได้พบเจอกันใหม่
เราโบกมือลา ด้วยน้ำตา ด้วยความจริงใจ
เป็นภาพที่ผมคิดว่ายิ่งใหญ่
ภาพที่อยากให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ภาพที่ทุกคนเปิดใจยอมรับกัน

อัพเสร็จตะคริวกินขา
เจอกันคราวหน้าคงไม่อัพยาวแบบนี้อีก
ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเหตุการณ์นิด ๆ
แค่มาสะกิดให้ได้คิดก็คงพอ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
เล่าเป็นประเด็นกว้าง ๆ ในสิ่งที่ผมได้เรียนรู้
ไม่ได้เล่าเรื่องเป็นช็อต ๆ แบบเช่นเคย
คราวหน้าจะกลับสู่ภาวะปกติครับ
รักคนอ่าน

โปรดติดตามตอนต่อไป

  • กด like แฟนเพจ