วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง
พวกเราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง…
ขึ้นต้นด้วยเพลงอมตะลอยกระทง เพิ่งรู้ตัวว่าผ่านพ้นคืนลอยกระทงไปแล้ว แต่ปีนี้ผมยังไม่ได้ฟังเพลงนี้เลย !!
5 ปีที่ผ่านมา ผมลอยกระทงที่สระน้ำจุฬาฯ ทุกปีครับ ช่วงลอยกระทงเป็นช่วงที่งานหนักเหมือนกัน ครั้งนึงเคยทำทีเดียวสี่งานครับ ทั้งขบวนชมรมล้านนา ทำฝ่ายสถานที่ของ อบจ. เล่นดนตรีกับชมรมดนตรีหอพัก และก็ร้องเพลงเปิดหมวกหน้าซุ้มร้านเกมของฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ คณะครุศาสตร์
ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่รู้สึกว่าเงียบเหงามาก ๆ
พอไม่มีงานต่าง ๆ พวกนั้น วันลอยกระทงปีนี้เลยรู้สึกว่าง ๆ แต่ก็อยากมีส่วนร่วมครับ ข้างบ้านเค้าชวนไปลอยที่เชียงแสน ลอยที่แม่น้ำโขงก็น่าจะสนุก คงมีคนมาลอยกระทงกันเต็มไปหมดแน่ ๆ แต่ผมกลับอยากสัมผัสบรรกาศลอยกระทงที่บ้านดอยครับ งานนี้จึงขอบายไปก่อน
ทุก ๆ ปี ลอยมั่งไม่ได้ลอยมั่งครับ ถ้าลอยก็ซื้อกระทงหน้างาน แต่ที่นี่ไม่มีขายแน่นอนครับ อยากลอยก็ต้องทำเอง แต่ละบ้านก็จะล้มต้นกล้วย ต้นเดียวก็ทำกระทงได้ทั้งบ้านแล้ว แต่ผมอยู่คนเดียวแบบนี้ล้มต้นกล้วยมาทำคงไม่คุ้มแน่ (จริง ๆ คือทำกระทงไม่เป็น 5555) ก็เลยหาวัสดุอย่างอื่นมาทำดีกว่า แล้วก็เหลือบไปเห็นแตงโมที่ซื้อมาเมื่อวานครับ พันธ์ตอปิโด ทรงสวย ผ่าครึ่งแล้วก็ใช้ช้อนคว้านกินเติมพลังซะก่อน แล้วก็เด็ดดอกไม้หน้าบ้านตัวเองนี่แหละครับ มาปัก ๆ แต่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกเข็ม ดอกมะเขือ หญ้าแพรก ( เห่ย ๆ ไม่ใช่ไหว้ครู แหะ ๆ) ปักเทียน ปักธูป ก็ได้กระทงฝีมือตัวเอง โอ้ววว สุดแสนจะภูมิใจ เป็นกระทงที่ทำด้วยตัวเองชิ้นแรก นับตั้งแต่ที่เคยทำส่งครูสมัยประถมเลยล่ะครับ
ดูหน้าตามันซะก่อน
สวยใช่มั้ยล่ะครับ อิอิ
ลมหนาวพัดเข้ามาตรงรอยแตกของฝากบ้านและช่องว่างบนหน้าต่างที่ยังไม่ได้ใส่กระจก ผมนั่งรอลูกสมุนอยู่ที่บ้าน เด็ก ๆ บอกว่าจะไปลอยกระทงกับครู รอจนมืดก็ยังไม่มากันครับ สงสัยจะไปลอยกะพ่อแม่แล้วล่ะครับ ผมก็เลยขี่มอเตอร์ไซค์ มือข้างนึงประคองกระทงอย่างทะนุถนอม แล้วก็ไม่ลืมที่จะสะพายกล้องถ่ายรูปไปด้วย กะว่าจะไปเก็บบรรยากาศงานลอยกระทงซะหน่อย
จากบ้านไปไม่ถึงสามนาทีก็ถึงหนองหลวงครับ เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินกลับ ที่คิดไว้คือจะเห็นภาพแสงเทียนระยิบระยับในน้ำ รอบ ๆ มีไฟประดับประดา มีคนมาลอยเยอะแยะ จุดดอกไม้ไฟ มีลูกชิ้นปิ้งขาย และเงาจันทร์พาดลงในน้ำ
ไม่มีเลยครับ !! มีอย่างเดียวคือเงาจันทร์พาดลงน้ำเท่านั้นแหละ ผมคิดในใจ นี่คนเค้าไม่ลอยกระทงกันเหรอ? หรือว่าเค้าไปลอยที่เชียงแสนกันหมด? แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วครับ ลองเดินสุ่ม ๆ ไปจนถึงตลิ่ง ก็อาศัยแสงจันทร์นี่แหละครับ ให้ความสว่าง ลมแรงมาก พัดเข้ามาหาชายฝั่ง กว่าจะจุดเทียนติดได้ ลมมันก็พัดจนดับ แต่ด้วยแรงอธิษฐานครับ เทียนของผมก็สามารถต้านลมได้ให้ผมอธิฐานจนจบแล้วปล่อยลงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา
พอปล่อยกระทงลงไปเท่านั้นแหละครับ ถึงได้รู้ว่า ยังมีกระทงอีกหลายใบลอยอยู่ในน้ำแต่ถูกลมพัดเทียนดับลอยมาติดตลิ่ง อืมมม อย่างนี้นี่เอง เทียนลอยได้สักพัก (ใครที่สงสัยว่ากระทงแตงโมผมจะลอยได้มั้ย คงเห็นแล้วนะครับ 555+) ลมก็พัดเทียนดับ ให้อยู่ในชะตากรรมเดียวกับกระทงใบอื่น ๆ
เอาน่ะ ก็ยังดีกว่าลอยไปสักพักแล้วเจอพวกหาเหรียญในกระทงล่ะ!!
ลอยกระทงเสร็จ ถึงได้มีโอกาสสังเกตบรรยากาศรอบ ๆ ถ้าไม่ใช่คืนลอยกระทง ผมว่าแถวนี้ต้องน่ากลัวแน่ ๆ คือไม่มีแสงไฟ ไม่มีบ้านคน แต่ในบรรยากาศทึม ๆ น่ากลัวนั้น กลับมีความงามซ่อนอยู่ หนองน้ำเบื้องหน้านั้น ด้านซ้ายเป็นต้นไม้ใบหนา ด้านขวาเป็นดอยเตี้ย ๆ เบื้องหน้าเป็นผิวน้ำอาบแสงจันทร์ ใบไม้ริมตลิ่งไหวสั่นไหวไปตามแรงลม มองไปไกล ๆ มีโคมลอยค่อย ๆ ลอยละล่องขึ้น
ผมว่าผมชอบแบบนี้แหละครับ
ชาวบ้านกลุ่มใหญ่เดินมา เค้าก็เพิ่งมาลอยกระทงกันครับ แต่กลุ่มใหญ่นั้นเดินเลยไป เค้าไปลอยกันตรงเนินใกล้ ๆ วัด มีคุณยายท่านหนึ่งเดินมาตรงที่ผมกำลังยืนซึมซับบรรยากาศอยู่ ความมืดทำให้คุณยายทักผมเป็นภาษากระเหรี่ยง ผมทักกลับไปเป็นภาษาเหนือ คุณยายจึงพูดกับผมว่า “ตรงนั้นมันสูงขี้เกียจเดินไป” ผมบอกคุณยายให้มาลอยตรงที่ผมลอยครับ เพราะว่ามันลงไปลอยได้สะดวก คุณยายขอให้ช่วยจุดเทียนให้ ลมพัดแรงเหมือนเดิม แต่เทียนของคุณยายเล็กมาก พอไฟติด ลมพัดมาก็ดับ กว่าจะจุดให้คุณยายได้ก็ทำเอาไฟแช็กร้อนเลยครับ
คุณยายลอยเสร็จก็หันมาถามว่า “คุยตั้งนานยังไม่รู้ว่าเป็นใครเลย” ผมแนะนำตัวไป คุณยายร้องอ๋อแล้ว บอกว่าเป็นยายของเด็กหญิงนุ่น ชั้น ป.6 ประธานนักเรียนนั่นเอง คุณยายชวนผมไปดูดอกไม้ไฟที่วัดครับ ผมเพิ่งรู้ว่ามีดอกไม้ไฟด้วย จึงตามคุณยายไปที่วัดทันทีครับ
ที่วัดติดไฟบ้างตามทาง แต่ตรงลานทำให้มือไว้ เพื่อจะได้เห็นดอกไม้ไฟได้ชัด ดอกไม้ไฟนั้นจุดขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา หลังจากที่ชาวบ้านได้ร่วมทำรับศีลรับพรในวัดเรียบร้อยแล้ว (มาช้าอดเลย)
ถ่ายแบบไม่ใช้แฟลช ให้เห็นว่ามืดจริง ๆ ครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีนักเรียนมาทักสวัสดี เค้าคงจำท่าทางที่ถือกล้องได้
ยืนสักพักเค้าก็จุดเลยครับ ถ้าเทียบกับดอกไม้ไฟที่เค้าจุดแข่งขันกันแถว ๆ บ้านผมสมัยที่ผมยังเด็ก ๆ ล่ะก็ ที่นี่เล็กไปเลยครับ แต่ปัจจุบันผมไม่เห็นนานแล้วล่ะครับ การได้มาเห็นอีกครั้งก็นับว่าโชคดีทีเดียวที่เจอคุณยายครับ
ภาษาถิ่นเรียกว่า “บอกไฟดอกครับ” คือลักษณะจะเป็นกระบอกไม้ไผ่ใหญ่ ๆ แล้วอัดดินปืนลงไป ใช้เวลาทำทั้งวันเลยล่ะครับ แล้วเค้าก็จะแห่บอกไฟดอกของตัวเองมาที่วัดครับ บอกไฟดอกนี้ก็จะฝังดินครับ เพื่อป้องกันไม่ให้กระบอกมันแตก แต่วิธีฝังดินก็ไม่ได้ช่วยมากเท่าไหร่ หากวิธีการทำนั้นผิดสูตร บอกไฟดอกก็กระบอกแตกก่อนได้ครับ จะว่าอันตรายก็อันตรายเหมือนกันนะเนี่ย
ภาพอาจจะตกกรอบไปนิดนะครับ เพราะตั้งกล้องกับเบาะรอมอเตอร์ไซค์ อีกด้านนึงจะเห็นชาวบ้านรำวงรอบดอกไม้ไฟของตัวเองครับ ผมว่าเค้าก็คงภูมิใจที่ดอกไม้ไฟของเค้าขึ้นมาเป็นพุ่มได้สำเร็จ มันคงจะน่าภูมิใจกว่าการได้เห็นกระทงแตงโมฝีมือตัวเองไม่จมน้ำแน่ ๆ
ดอกไม้ไฟมีเท่านี้แหละครับ พอจุดหมดก็ทะยอยกันกลับบ้าน ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ได้มีงานรื่นเริงใหญ่ ๆ ไม่มีซุ้มเสื่อม ๆ ปาวุ้นใส่ผู้ชายแก้ผ้าสวมบ็อกเซอร์ ไม่มีร้านขายน้ำที่ตะโกนเรียกลูกค้า ที่ทำเหมือนกับว่าคนซื้อเค้าจะไม่รู้ด้วยตัวเองว่าเค้าจะหิวน้ำหรือไม่หิวน้ำ ไม่มีดนตรีเสียงดังอึกทึก ไม่มีซุ้มเกมกินตังค์ ที่เลือกเอาเกมมาพนันกับความสามารถของคนเล่น แต่ผมเชื่อว่าทุกคนได้ลอยกระทงอย่างอิ่มเอมใจ เป็นลอยกระทงปลอดสารครั้งแรกในรอบ 10 ปีของผมเลยทีเดียวครับ ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ ท่ามกลางอากาศที่หนาวที่เข้ามาสู่บ้านดอยอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ระหว่างทางจากวัดกลับบ้าน ผ่านบ้านลุงสาย (คนอื่นเรียกผู้ช่วยสายสิทธิ์ แต่ผมเรียกลุงสาย) ว่าจะแวะเข้าไปสวัสดีแกสักหน่อย เข้าไปก็เจอกับวงสนทนาย่อย ๆ ใต้ถุนบ้านลุงสาย ลุงสายจับมือผมเขย่าอย่างยินดี ปากก็พูดพร่ำว่าดีใจที่แวะมาเยี่ยมแก
แล้วก็ทำหน้าที่เวียนแก้วต่อไป …
และใต้ถุนบ้านนั้นเอง….
ปีหน้า ถ้ามีโอกาสได้ลอยกระทงที่นี่อีกครั้ง หวังว่ามันจะเป็นการลอยกระทงปลอดสารครั้งแรกในรอบ 11 ปีของผมนะครับ
แหม่ ล้วน ๆ เลย